วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

“พลังแห่งจิตวิญญาณ” โดย..สุพรรณี จิกนอก

“พลังแห่งจิตวิญญาณ”
คงไม่มีใครที่จะไม่เคยท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจหมดพลังที่จะต่อสู้ และเชื่อว่าแต่ละคนก็ต้องมีทางออกของตัวเองที่จะพาตัวเองออกจากสถานการณ์อันหดหู่นี้
ฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ตอนนี้ฉันหมดสิ้นความหวังและกำลังใจ ทั้งรอบตัวและความรู้สึกในใจ
ฉันจะทำอย่างไร ความหวังและพลังของฉันจึงจะกลับมาได้โดยเร็ว โดยที่หัวใจไม่บอบช้ำมากเกินไปนัก
ประสบการณ์ในอดีตที่เคยเอาชนะสภาวการณ์แบบนี้ไปได้ ซึ่งถ้านำมาแก้ไขปัญหาของฉันในตอนนี้จะได้มั๊ย? ฉันยังไม่อาจยืนยันคำตอบได้!.
แต่เมื่อใดที่ฉันถูกกระทำจนเกิดอาการท้อหมดแรงสู้ในเกมส์ชีวิต วาบแรกแห่งความคิด ฉันจะคิดถึงทุ่งนาข้าวสีเขียวของฉันเป็นอันดับแรก ที่นาของฉันที่ได้รับมรดกจากพ่อ ข้าวเขียวๆที่ฉันได้หว่านไว้กำลังงอกงามดุจพื้นพรมสีเขียว ในยามเช้าแดดอ่อนๆส่องลงมาจังต้องทุ่งข้าวช่างสวยงามจับตาน่ามอง
ฉันเกิดและเติบโตกับผืนนาแห่งนี้ ฉันรู้จักผืนนานี้ดีไม่น้อยกว่ารู้จักตัวเอง ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่บนผืนนาแห่งนี้ คือครอบครัวของฉัน ต้นไม้บางต้นเติบโตมาพร้อมๆกับฉัน ทุกวันนี้เขาก็ยังคงอยู่ ฉันจะใช้เวลาทั้งวันนั่งๆนอนๆที่เถียงนาหรือไม่ก็เดินดูต้นข้าวที่กำลังเติบโตด้วยความภูมิใจ จะบอกว่าผืนนาแห่งนี้เป็นสายใยชีวิตของฉันก็คงจะไม่เกินไปนัก
ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันรู้สึกท้อ ไร้พลัง จิตวิญญาณอ่อนล้า จวนเจียนจะยอมแพ้แก่โชคชะตา ฉันจะไปที่นาแห่งนี้เสมอ เพื่อซึมซับกลิ่นไอที่คุ้นเคย พลิกฟื้นพลังใจให้กล้าแกร่ง ก่อนจะกลับเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง
สัจจะธรรมที่เกิดขึ้น กับผืนนาที่ฉันได้เห็นก็เป็นบทนำชีวิตที่ทำให้ฉันเข้าใจโลกและกล้ายอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีอยู่ในแผนการชีวิตได้ดีในระดับสูง ผืนนาจะเป็นแหล่งพักพิงทางใจได้ดีเป็นพิเศษในคราท้อแท้ ไม่ว่าจากเรื่องใดก็ตาม มันเริ่มต้นง่ายๆฝนเม็ดแรกร่วงลงสู่พื้นดินในฤดูฝน ความเขียวขจีมีชีวิตชีวาก็จะเริ่มขึ้นมองฤดูนี้มีแต่ความสดชิ่นเย็นตาและเย็นใจแต่บรรยากาศนี้ก็คงอยู่ไม่นานนัก เมื่อลมหนาวแรกมาเยือน ทุ่งข้าวก็เป็นสีทองเหลืองอร่าม แต่ก็ไม่นาน เมื่อรวงข้าวรวงสุดท้ายโดนเคียวเกี่ยวไป ทุ่งนาก็กลับเข้าสู่ความเงียบเหงา เหลือแต่ตอซังข้าวแห้งๆ อีกไม่นานฤดูหนาวก็จะมาเยือน ความแห้งแล้งก็คืบคลานเข้ามาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
แต่ความหวังในสิ่งสวยงามก็จะกลับมาอีกครั้ง ต้มไม้ใบหญ้าเริ่มแตกใบอ่อน บ้างก็ออกดอก ระบำยอดหญ้ากำลังจะเริ่มขึ้น การรอฝนแรกก็เวียนมาบรรจบ ชีวิตคนก็คงไม่ต่างกัน
ช่วงชีวิตนี้ของฉันแม้จะหน่วงหนักก็คงข้ามไปได้ แม้วาบในความคิดฉันก็เริ่มมีแรงขึ้น ฉันต้องออกไปทุ่งนาเพื่อเอาพลังใจกลับมา
ฉันรักผืนนามาจนบัดนี้ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้ตอนนี้จะเจ็บ แต่ก็ไม่โดดเดี่ยวเสียที่เดียว ฉันเพียงถูกสายลมพัดกระหน่ำเท่านั้นเอง
...สักวันสายลมก็จะพัดผ่านไป ฉันเชื่ออย่างนั้น!
สุพรรณี จิกนอก
๘ ต.ค. ๒๕๕๕ 

ไม่มีความคิดเห็น: